Monday, April 15, 2013

พระมหาประพันธ์ สุวรรณมณี

พระมหาประพันธ์ สุวรรณมณี

ผลการวิจัยภาคเอกสารพบว่า ประวัติความเป็นมาของหนังตะลุงในจังหวัดนครศรีธรรมราชไม่ปรากฏชัดเจนว่า เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใด แต่มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเข้ามาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-17 โดยได้รับอิทธิพลมาจากหนังตะลุงอินเดีย หนังตะลุงชวา และหนังตะลุงมลายู และได้ผสมผสานกับรูปแบบการแสดงหนังตะลุงของไทย ต่อมาได้พัฒนาเป็นรูปแบบการแสดงหนังตะลุงแบบปัจจุบันมาตามลำดับ และในส่วนของหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมหนังตะลุงของจังหวัด นครศรีธรรมราชนั้นมี

5 ประการ คือ

1. กรรม
 2. ไตรลักษณ์
3.ทิศหก
4.มงคล 38
5. อบายมุข

จากการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ นักวิชาการ นายหนังตะลุง และประชาชนทั่วไปนั้น กล่าวโดยสรุปได้ว่า การแสดงหนังตะลุงได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ชวา และมลายู แล้วมาประยุกต์เข้ากับหนังตะลุงไทย ในส่วนของวรรณกรรมหนังตะลุงก็ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์และพระพุทธ ศาสนา การที่นายหนังตะลุงเสนอหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรมหนังตะลุงนั้นมี ความสอดคล้องและสัมพันธ์กับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามในระดับพื้นฐานอันจะนำ ไปสู่การปฏิบัติธรรมในขั้นสูงต่อไปตามลำดับ อีกทั้งเหมาะกับเหตุการณ์ของสังคมไทยในปัจจุบัน
นักวิชาการ นายหนังตะลุง และประชาชนทั่วไปส่วนใหญ่มีความเห็นว่า หนังตะลุงนั้นมีคุณค่าต่อสังคมไทยอย่างยิ่ง และเชื่อว่าหากหนังตะลุงมีการพัฒนาและมีการปรับปรุงให้ทันต่อสังคมไทยอยู่ เสมอแล้ว หนังตะลุงจะยังคงอยู่คู่กับสังคมไทยตลอดไป

ลำดับที่ 4121
ชื่อผลงานวิจัย ศึกษาวิเคราะห์หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฎในวรรณกรรมหนังตะลุงในจังหวัดนครศรีธรรมราช

หัวข้อ(Eng) The Analytical Study of the Principles of Buddhism as Appeared in the Shadow Play of Nakornsrithammarat Province


คำสำคัญ(keyword) หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา วรรณกรรม หนังตะลุง ปี2543



ชื่อผู้วิจัย พระมหาประพันธ์ สุวรรณมณี
ชื่อผู้วิจัย(Eng) Phramaha Prapan Suvanmanee
การศึกษา อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ มหาวิทยาลัยมหิดล



สถานที่ติดต่อ วัดราชาธิวาสวิหาร แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300


ช่วงระยะเวลาที่ทำวิจัย(duration) ทำวิจัยเสร็จปี 2543
ประเภท วิทยานิพนธ์มหาวิทยาลัยมหิดล



สถานที่จัดเก็บผลงาน สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยมหิดล อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม



ประวัติความเป็นมา(history) ด้วยเหตุที่พระพุทธศาสนามีความเกี่ยวพันกับจิตใจของชาวนครศรีธรรมราชเป็น เวลาช้านานซึ่งเป็นแบบฉบับและเป็นหลักที่พึ่งของชาวนครศรีธรรมราชทั้งเป็น ประทีปให้เกิดความสว่งในการดำเนินชีวิต ดังนั้นการแสดงออกของชาวนครศรีธรรมราชจึงมีเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแทรก อยู่ในชีวิตประจำวันและเนื่องจากวรรณกรรมหนังตะลุงจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ บันทึกเหตุการณ์ของสังคมแต่ละยุคแต่ละสมัย อีกทั้งผู้แต่งมักแทรกหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาไว้ในวรรณกรรมหนังตะลุง เท่าที่มีโอกาสเพื่อแสดงให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา และส่งเสริมให้ผู้ชมนำหลักธรรมเหล่านั้นไปคิดพิจารณาทั้งนำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อความดีงามแห่งชีวิต ผู้แต่งที่มีกุศโลบายจะนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาถ่ายทอดเป็นรูปของบทกลอน บ้าง บทเจรจาบ้าง แต่เมื่อสรุปแล้วหลักธรรมที่ผู้แต่งแทรกไว้ในวรรณกรรมหนังตะลุงนั้นมีจุด มุ่งหมายให้ผู้ชมละชั่วแล้วกระทำความดีเป็นหลัก ถือได้ว่าสอดคล้องกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่กล่าวว่าไว้ว่า "การไม่กระทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อมและการทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว" (ขุ.ธ.25/183/49) ฉะนั้น อิทธิพลของหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาจึงปรากฏอยู่ในวรรณกรรมหนังตะลุงเป็น จำนวนมาก เช่น ไตรลักษณ์ มงคลสูตร และอบายมุข เป็นต้น จากอิทธิพลของหลักธรรมดังกล่าวทำให้พุทธศาสนิกชนในจังหวัดนครศรีธรรมราชมี วิถีชีวิตที่เกี่ยวพันกับพระพุทธศาสนาและได้แสดงออกมาในรูปแบบของวรรณกรรม ท้องถิ่นต่างๆ ที่โดดเด่นมากคือหนังตะลุงนั่นเอง

ผู้ศึกษาจึงสนใจที่จะศึกษาวิเคราะห์หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏใน วรรณกรรมหนังตะลุง เพราะการศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมเป็นเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถี ชีวิตของมนุษย์และเท่ากับการวิเคราะห์ชีวิตของมนุษย์ด้วย






แนวคิด(concept) หนังตะลุงเป็นศิลปะการละเล่นพื้นบ้านของจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ไม่ได้ให้เฉพาะความเพลิดเพลิน หากแต่แฝงไว้ด้วยภูมิปัญญาและคติธรรม เรื่องที่นำมาแสดงนั้นส่วนใหญ่ได้รับการบันทึกเป็นวรรณกรรมท้องถิ่น เนื้อหาของหนังส่วนมากได้รับอิทธิพลมาจากหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาโดยตรงซึ่ง สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของชาวนครศรีธรรมราชที่นับถือพระพุทธศาสนาส่วนมาก การศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมจึงเป็นการวิเคราะห์วิถีชีวิตของมนุษย์



วัตถุประสงค์(objective) 1. ศึกษาประวัติความเป็นมาของวรรณกรรมหนังตะลุง ในจังหวัดนครศรีธรรมราช
2. ศึกษาวิเคราะห์หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมหนังตะลุงในจังหวัดนครศรีธรรมราช
3. ศึกษาทัศนะของนักวิชาการ นายหนังตะลุง และประชาชนต่อหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมหนังตะลุง
แนวทางการปฏิบัติ(regulation) เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ มี 2 ลักษณะ คือ
1. การวิจัยเอกสาร (documentary research)
2. การวิจัยภาคสนาม (field research)
กลุ่มตัวอย่าง(sample) ประชากร
1. เอกสารที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์วิเสสต่างๆ วรรณกรรมหนังตะลุงที่เลือกศึกษา จำนวน 10 เรื่อง (กงกรรมกงเวียน ธรรมค้ำจุนโลก กองทัพธรรม กตัญญูพิสดาร แก้วขันธ์ห้า เพชรฆาตสงคราม โจรจำเป็น เมฆบังจันทร์ ผู้ชายจริงหญิงร้อยชู้ และวิญญาณบุพการี) งานวิจัย วิทยานิพนธ์ และเอกสารตำราที่เกี่ยวข้อง
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยภาคสนาม ได้แก่
2.1 กลุ่มนักวิชาการที่มีความรู้ความถนัดในเรื่องหนังตะลุง 9 ท่าน
2.2 นายหนังตะลุงที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับของประชาชน 9 ท่าน
2.3 ประชาชน 9 ท่าน
ตัวแปร(variable) ตัวแปรที่สนใจศึกษา ได้แก่
1. ประวัติความเป็นมาของวรรณกรรมหนังตะลุง ในจังหวัดนครศรีธรรมราช
2. หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมหนังตะลุง ในจังหวัดนครศรีธรรมราช
3. ทัศนะของนักวิชาการ นายหนังตะลุง และประชาชนต่อหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมหนังตะลุง
คำนิยาม(defination) หลักธรรม หมายถึง ข้อธรรมที่พระพุทธเจ้านำมาสั่งสอน ในการวิจัยครั้งนี้ศึกษาเฉพาะหลักธรรมที่ปรากฏในวรรณกรรมหนังตะลุง ได้แก่ กรรม ไตรลักษณ์ ทิศหก มงคล 38 และอบายมุขเท่านั้น
พระพุทธศาสนา หมายถึง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งประกอบด้วยเรื่องที้เกี่ยวกับความเชื่ออันเป็น หลักทางพระพุทธศาสนา เช่น ความเชื่อเรื่องกรรม ส่วนที่เป็นหลักธรรม เช่น มงคลสูตร และส่วนที่เป็นการปฏิบัติตามหลักธรรมและประเพณีบางอย่างของพระพุทธศาสนา เช่น การทำบุญตักบาตร การเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นต้น
วรรณกรรม หมายถึง งานสร้างสรรค์ทางเอกสารที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาโดยมีจุดมุ่งหมายอย่างใด อย่างหนึ่ง คำว่าวรรณกรรมในการวิจัยนี้ หมายเอาเอกสารหรือสื่อที่บันทึกเรื่องที่แสดงของหนังตะลุง
หนังตะลุง หมายถึง การละเล่นพื้นบ้านที่ใช้การเล่าเรื่องด้วยบทกลอน บทกาพย์เจรจาโดยใช้ตัวหนังตะลุงเป็นตัวละคร มีเครื่องดนตรีและแสงสีจากดวงไฟ นายหนัง หมายถึง บุคคลที่ทำหน้าที่แสดงหนังตะลุงและเป็นหัวหน้าคณะบริหารงานภายในคณะของตน
เครื่องมือ(tool) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยภาคสนาม ได้แก่ แบบสังเกต และแบบสัมภาษณ์
การรวบรวมข้อมูล(gathering) การวิจัยนี้เป็นวิจัยคุณภาพประเภทการวิจัยเอกสารและการวิจัยภาคสนาม ซึ่งใช้วิธีรวบรวมข้อมูลดังนี้
1. เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร
1.1 เอกสารชั้นปฐมภูมิ ได้แก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์วิเสสต่างๆ
1.2 เอกสารชั้นทุติยภูมิ ได้แก่ วรรณกรรมหนังตะลุงที่เลือกศึกษา รวมทั้งเอกสารและงานวิจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. การเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม ใช้วิธีการดังนี้
2.1 การสังเกตการณ์ คือ การเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ในขณะที่มีการแสดงหนังตะลุง โดยผู้วิจัยได้ไปสังเกตการณ์การแสดงหนังตะลุง 2 ครั้ง
2.2 การสัมภาษณ์ โดยสัมภาษณ์นักวิชาการที่มีความรู้ความถนัดในเรื่องหนังตะลุง 9 ท่าน นายหนังตะลุงที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับของประชาชน 9 ท่าน และประชาชน 9 ท่าน
ข้อสรุป(summary) ผลการวิจัยภาคเอกสารพบว่า ประวัติความเป็นมาของหนังตะลุงในจังหวัดนครศรีธรรมราชไม่ปรากฏชัดเจนว่า เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใด แต่มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเข้ามาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-17 โดยได้รับอิทธิพลมาจากหนังตะลุงอินเดีย หนังตะลุงชวา และหนังตะลุงมลายู และได้ผสมผสานกับรูปแบบการแสดงหนังตะลุงของไทย ต่อมาได้พัฒนาเป็นรูปแบบการแสดงหนังตะลุงแบบปัจจุบันมาตามลำดับ และในส่วนของหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมหนังตะลุงของจังหวัด นครศรีธรรมราชนั้นมี 5 ประการ คือ 1. กรรม 2. ไตรลักษณ์ 3.ทิศหก 4.มงคล 38 5. อบายมุข
จากการสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ นักวิชาการ นายหนังตะลุง และประชาชนทั่วไปนั้น กล่าวโดยสรุปได้ว่า การแสดงหนังตะลุงได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ชวา และมลายู แล้วมาประยุกต์เข้ากับหนังตะลุงไทย ในส่วนของวรรณกรรมหนังตะลุงก็ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์และพระพุทธ ศาสนา การที่นายหนังตะลุงเสนอหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรมหนังตะลุงนั้นมี ความสอดคล้องและสัมพันธ์กับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามในระดับพื้นฐานอันจะนำ ไปสู่การปฏิบัติธรรมในขั้นสูงต่อไปตามลำดับ อีกทั้งเหมาะกับเหตุการณ์ของสังคมไทยในปัจจุบัน
นักวิชาการ นายหนังตะลุง และประชาชนทั่วไปส่วนใหญ่มีความเห็นว่า หนังตะลุงนั้นมีคุณค่าต่อสังคมไทยอย่างยิ่ง และเชื่อว่าหากหนังตะลุงมีการพัฒนาและมีการปรับปรุงให้ทันต่อสังคมไทยอยู่ เสมอแล้ว หนังตะลุงจะยังคงอยู่คู่กับสังคมไทยตลอดไป
ข้อเสนอแนะ(suggestion) 1. ทางคณะสงฆ์ควรจะประสานร่วมกับภาครัฐ ชาวบ้าน และคณะหนังตะลุงในจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้วจัดให้มีการอบรมในด้านเนื้อหา หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาแก่นายหนังตะลุง เพื่อให้นายหนังมีความรู้ความเข้าใจหลักธรรมอย่างถูกต้องและสามารถนำไปถ่าย ทอดผ่านวรรณกรรมหนังตะลุงอย่างถูกต้อง จะทำให้นายหนังและประชาชนผู้ชมมีความรู้ความเข้าใจในหลักคำสอนทางพระพุทธ ศาสนามากยิ่งขึ้น และเป็นการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาอีกด้วย
2. องค์กร สถาบันหรือชมรมหนังตะลุงในจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดใกล้เคียงควรเก็บ รวบรวมวรรณกรรมหนังตะลุงของคณะหนังตะลุงต่างๆ ที่ไม่ได้จดบันทึกหรือพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษร นำมาบันทึกรวบรวมเก็บไว้ที่ใดที่หนึ่ง เช่น ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น เพื่อจะเป็นประโยชน์แก่นายหนังตะลุงรุ่นหลังและเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจในการ ศึกษาวรรณกรรมหนังตะลุงต่อไป
3. รัฐบาลควรบรรจุหลักสูตรที่เกี่ยวกับวรรณกรรมหนังตะลุงไว้ในการเรียนการสอน ของสถาบันการศึกษาต่างๆ เช่น สถาบันราชภัฏ เป็นต้น เพื่อจะให้นักเรียน นักศึกษาได้ศึกษาเรียนรุ้ภูมิปัญยาท้องถิ่นจะทำให้เกิดความรักความภาคภูมิใจ ในศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นของตน คือ การแสดงหนังตะลุง อีกด้วย
4. ภาครัฐควรให้การส่งเสริมการแสดงหนังตะลุงในรูปแบบต่างๆ เช่น จัดให้มีการประกวดการแสดงหนังตะลุง หรือการเผยแพร่การแสดงหนังตะลุงทางสื่อมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้คนสนในและติดตาม เมื่อมีโอกาสก็จะได้รับไปแสดง ทำให้การแสดงประเภทนี้เป็นอาชีพที่มีรายได้ดีขึ้น และอาจทำให้เกิดคณะหนังตะลุงใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น วิธีการนี้จะช่วยอนุรักษ์ศิลปะการแสดงหนังตะลุงให้อยู่คู่สังคมชาวใต้ไปตราบ นานเท่านาน
ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมอื่นๆ ของภาคใต้ เช่น การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างหนังตะลุงกับมโนราห์ อิทธิพลหนังตะลุงที่มีต่อวิถีชีวิตของชาวภาคใต้ การศึกษาวิเคราะห์เรื่องกรรมที่ปรากฏในเพลงบอก เป็นต้น และควรมีการศึกษาวิเคราะห์ชีวิตและผลงานด้านวรรณกรรมของนายหนังที่จัดว่า เป็นครูแต่ละท่าน เช่น หนังจันทร์แก้ว บุญขวัญ หนังล้อม สระกำ หนังทวีศิลป์ บางตะพง เป็นต้น เพื่อเป็นการวิเคราะห์ภูมิปัญญาของท่านเหล่านั้นและกระทำให้ปรากฏแก่คนรุ่น หลังต่อไป
ปี 2543

Monday, December 24, 2012

สวนอาหารสุวรรณมณี

สวนอาหารสุวรรณมณี

ที่ตั้ง:
ถนนเลี่ยงเมืองสายเอเชีย ต.ควนลัง จ.สงขลา, อ.หาดใหญ่
โทรศัพท์:
074-501-683 / 088-395-8454
เว็บไซต์:https://www.facebook.com/suvarnamani.restaurant

http://static1.th.orstatic.com/UserPhoto/photo/0/HQ/003I706FEC0C51FF4BE993l.jpg

https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/c165.0.403.403/p403x403/561549_366143950144305_1525833914_n.jpg

http://static3.th.orstatic.com/UserPhoto/photo/0/HQ/003I6Z3814A28E13F63E60l.jpg

http://static4.th.orstatic.com/UserPhoto/photo/0/HQ/003I6Y895D5E9FA30634A2l.jpg

https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p75x225/154486_438577252875305_527271567_n.jpg

Wednesday, December 12, 2012

เสือปล้นที่โด่งดัง นามเสือแย้ม สุวรรณมณี

เพิ่ม เติมท่านอาจารย์เลื่อนพื้นเพ เป็นคนป่าขาด อำเภอสิงหนคร อดีตท่านเป็นเสือปล้นที่โด่งดัง นามเสือแย้ม สุวรรณมณี เป็นสหธรรมิก กับตาหลวงอินทร์ (เทวดา) วัดแหลมกรวดพัทลุงครับ

ร่วมแจม อดีตเคยครอบครอง



หลวงพ่อ เลื่อน วัดสมแก้วจัดเป็นเกจิอาจารย์ที่ได้รับความศรัทธามากองค์หนึ่งในจ.ชุมพร เนื่องด้วยประสบการณ์อันโดดเด่นครับ.....เหรียญรุ่นแรกจัดสร้างเมื่อปี 2497ซึ่งเป็นของท่านนั้นมีสองพิมพ์ครับสังเกตที่ตัวโมข้างด้านหลังจะมีพิมพ์ ที่พี่ลงและอีกพิมพ์หนึ่งคือเป็นโมอีกแบบหนึ่ง


รูปแกะหนังตะลุง : แถบอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา

รูปแกะหนังตะลุง
ภูมิปัญญารูปแกะหนังตะลุง
 

ประวัติความเป็นมา
เมื่อปี พ.ศ. 2500 นายส่อง สุวรรณมณี ซึ่งเป็นศิษย์ของนายหนังตะลุงแถบอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ได้ย้ายถิ่นฐานที่อยู่มาอยู่ที่ หมู่ที่ 2 ตำบลเสาธง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และได้แสดงหนังตะลุงในบริเวณที่อยู่อาศัย จนมาระยะหนึ่ง นายส่อง สุวรรณมณี ได้ใช้เวลาว่างในการแกะหนังตะลุงขึ้น ซึ่งอาศัยศิลปะการแกะหนัง จากการสังเกตตอนที่อยู่ระโนด จากช่างที่มาแกะหนังตะลุง ให้แสดงในเวลานั้น นายส่องจึงแกะหนังตะลุงเพื่อให้แสดงเอง แสดงจนมีชาวบ้านในหมู่บ้านสระพัง ตำบลเสาธง มีความสนใจและได้ฝึกการแกะหนังตะลุง จนมีลูกศิษย์หลายคนที่ยึดเป็นอาชีพการแกะหนังตะลุงต่อมา
จุดนี้เองจึงทำให้หมู่บ้านสระพังมีช่างแกะหนังฝีมือดีหลายคนเกิดขึ้น และ นายส่อง สุวรรณมณี ก็ได้ถ่ายทอดการแกะหนังให้ลูก ๆ และยึดเป็นอาชีพมาจนถึงทุกวันนี้
จากความรู้ความสามารถของนายส่อง สุวรรณมณี ได้ถ่ายทอดให้ลูก ๆ จนลูก ๆ ทุกคนมีความสามารถในงานศิลปะด้านแกะหนัง โดยเฉพาะ นายกิจติ สุวรรณมณี ได้สร้างผลงานด้านแกะหนัง จนมีฝีมือ เป็นที่ยอมรับและได้ส่งภาพหรือรูปหนังเข้าประกวดจนได้รับรางวัลและเกียรติ บัตรมากมาย ทำให้หน่วยงานราชการต่างๆ ได้เชิญให้ไปแสดงผลงานตามงานและเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะโรงเรียนละแวกใกล้เคียงได้เชิญให้ นายกิจติ สุวรรณมณี ไปเป็นวิทยากร และสอนเด็กนักเรียนอยู่เป็นประจำ ทำให้ศิลปะการแกะหนังในหมู่บ้านสระพังมีผลงาน และเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วเป็นที่สนใจของชุมชนและเยาวชน ทำให้มีผู้มาเรียนรู้ในการแกะหนังมากขึ้น เนื่องจากสามารถสร้างรายได้เสริมให้ครอบครัวเป็นอย่างดี

เอกลักษณ์/จุดเด่นผลิตภัณฑ์
          เป็นผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นแสดงถึงเอกลักษณ์ของคนปักษ์ใต้ ที่มีการทำด้วยฝีมือประณีต สวยงาม และคงทน

วัตถุดิบและส่วนประกอบ
1.หนังวัว
2.สี
3.เขียงตอก (ไม้เนื้อแข็ง)
4.เขียงขุด (ไม้เนื้ออ่อน)
5.ตุ๊ดตู่(มุก)
6.มีดขุด
7.ฆ้อน
8.พู่กัน
9.น้ำมันวานิช
10.ไม้ตับ
11.เชือก
ขั้นตอนการผลิต
1.นำหนังมาฟอก
2.ตากหนังให้แห้ง
3.ตัดเป็นรูปแบบต่าง ๆ ที่ต้องการ
4.เขียนลาย
5.ตอกตามลวดลาย
6.ลงมือแกะหนัง
7.ระบายสี
8.เคลือบเงา
9.นำไปใส่กรอบ/ใส่ถุงจำหน่าย

รูปแกะหนังตะลุง : จังหวัดนครศรีธรรมราช
เมื่อปี พ.ศ. 2500 นายส่อง สุวรรณมณี ซึ่งเป็นศิษย์ของนายหนังตะลุงแถบอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ได้ย้ายถิ่นฐานที่อยู่มาอยู่ที่ หมู่ที่ 2 ตำบลเสาธง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และได้แสดงหนังตะลุงในบริเวณที่อยู่อาศัย จนมาระยะหนึ่ง นายส่อง สุวรรณมณี ได้

พระสุวรรณมณี ปี65

พระสุวรรณมณี ปี65

พระสุวรรณมุนี (ฉุย สุโข)


พระสุวรรณมุนี (ฉุย สุโข) หรือ หลวงปู่ฉุย

ข้อมูลประวัติ

เกิด วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2401 เป็นบุตรของ นายนง นางนก
อุปสมบท พ.ศ. 2421 ขณะอายุ 20 ปี
มรณภาพ วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2466
รวมสิริอายุ 65 ปี 45 พรรษา

วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม

เหรียญรุ่นแรก สร้างปี 2465 สร้างแจกในโอกาสทำบุญฉลองมณฑปที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช ซึ่งเหรียญรุ่นนี้ถือเป็นเหรียญยอดนิยมของวงการ สำหรับเหรียญรุ่นปีพ.ศ. 2467 เป็นเหรียญตาย สร้างพร้อมกับรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริง เพื่อประดิษฐานในมณฑป ปลุกเสกโดยหลวงพ่อมงคล และ หลวงพ่อแฉ่ง สำหรับเหรียญรุ่นแรกนี้มีด้วยกัน 2 พิมพ์ คือ พิมพ์โมมีไส้ และพิมพ์โมไม่มีไส้

พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา

พุทธคุณในเหรียญรุ่นนี้เด่นทาง เมตตามหานิยม แคล้วคลาด อยู่ยงคงกระพัน และอยู่ในชุดเบญจภาคี ของพระเครื่องไทยตลอดมา เหรียญของหลวงปู่ฉุยจัดว่าเป็นเหรียญที่หาย่าก

ก่อตั้งโรงเรียน

หลวงปู่ฉุยได้ก่อร่างสร้างฐานรากที่แข็งแกร่งทางการศึกษาให้ลูกหลานชาวเพชรบุรีได้มีที่สถานศึกษาเล่าเรียนที่มีคุณภาพดี และสร้างบุคคลกรที่ดี คุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองสืบไป โดยหลวงปู่ฉุยได้ย้ายโรงเรียนของหลวงพ่อริด จาก วัดพลับพลาชัยที่ เปิดการเรียนการสอนมาตั่งแต่ พ.ศ. 2437 ด้วยเหตุว่าวัดพลับพลายชัยคับแคบ มาเรียน ณ วัดคงคารามวรวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2444 โดยตั้งชื่อโรงเรียนว่า "โรงเรียนบำรุงไทย " ภายหลังโรงเรียนบำรุงไทยได้ เปลียนเป็นชื่ออื่นเรื่อยมาและและกิจการด้านการเรียนการสอนได้เจริญรุดหน้า เป็นลำดับ สถานที่ของโรงเรียนในวัดคงคารามวรวิหารคับแคบเกินกว่าจะขยายฐานการศึกษาให้ ใหญ่โตได้ จึงได้ย้ายโรงเรียนจากวัดคงคารามวรวิหารมาตั้ง ณ บริเวณวัดร้างเชิงเขาวัง (พระนครคีรี) ด้านทิศใต้ โดยตั้งในพื้นที่ของวัดป่าแก้ว วัดโคกมะกูด วัดช้างน้อย พื้นที่บางส่วนของวัดพระพุทธไสยาสน์ (วัดพระนอน) วัดช้างใหญ่ (วัดช้าง) และวัดถ้ำแก้ว ได้เปลียนชื่อเป็น "โรงเรียนพรหมานุสรณ์จังหวัดเพชรบุรี"ตั่งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา



แหวนนามสกุล สุวรรณมณี






แหวนนามสกุล สุวรรณมณี



ตระกูลสุวรรณมณี ตำบลโรง อำเภอกระแสสินธ์ จังหวัดสงขลา

เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ นายเลข สุวรรณมณี พร้อมด้วย ครอบครัวร่วมกับ ประชาชนชาวบ้าน ตำบลโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ถวายผ้ากฐิน
วัดโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา  ประจำปี 2555 



http://suwachai.blogspot.com/2012/11/blog-post_7896.html



เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕  นายเลข สุวรรณมณี  กรรมการ มูลนิธิพลเอกเปรมติณสูลานนท์ อำเภอกระแสสินธ์  พร้อมครอบครัว ร่วมกับ แม่ชี ประจำวัดโรง  ได้มอบเงินบริจาค จำนวน 15,000 บาท ให้ กับมูลนิธิพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อำเภอกระแสสินธุ์ โดยมี นายเปรม ทองเนื้อแข็ง สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา(สอบจ.) อำเภอกระแสสินธุ์ เขต 1 เป็นผู้รับมอบ
มูลนิธิพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อำเภอกระแสสินธ์  จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียน ในเขต อำเภอกระแสสินธ์

http://suwachai.blogspot.com/2012/11/blog-post_12.html



Design by Suwanmanee